วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

{Chapter 6} - Madame Tussauds London

Madame Tussauds London




                         Madame Tussauds ถือว่าเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งที่โด่งดังที่สุดเลยก็เป็นได้ อีกทั้งยังมีหลายสาขาทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยอีกด้วย ตอกย้ำถึงความโด่งดังของ Madame Tussauds ได้เป็นอย่างดี



                         ซึ่งภายใน Madame Tussauds London จะแบ่งหุ่นเป็น 14 ส่วน


1.Party : ทุกท่านจะได้กระทบไหล่กับซุปเปอร์สตาร์แถวหน้าของ Hollywood ไม่ว่าจะเป็น Kate WinsletColin FirthDame Helen Mirren,  Brad Pitt, Taylor LautnerLeonardo Dicaprio และ George Clooney



2.Bollywood : ในบริเวณนี้คุณจะได้พบกับดาราดังจากฝั่ง Bollywood มากมาย



3.Film : โซนนี้คุณจะได้พบกับตัวละครจากภาพยนตร์ดังหลากหลายจากในอดีตจนถึงปัจจุบันที่คุณชื่นชอบ



4.Sports Zone : บริเวณนี้จะมีนักกีฬาที่มีชื่อเสียงมากมายพร้อมที่จะให้ทุกท่านได้ไปสัมผัสอย่างใกล้ชิด

รูปเจ้าของบล๊อกกับหุ่นภายใน Madame Tussauds London


5.Royals : ส่วนนี้คุณจะไปพบกับเชื้อพระวงศ์ของประเทศอังกฤษอย่างใกล้ชิด



6.Culture : คุณจะได้พบกับบุคคลสำคัญจากอดีตมากมาย ไม่ว่าจะเป็น นักวิทยาศาสตร์หรือศิลปินชื่อดัง



7.Music Megastars : คุณจะได้พบกับนักร้อง ศิลปิน ชื่อดังทั้งจากอดีตจนถึงปัจจุบัน


รูปเจ้าของบล๊อกกับหุ่นภายใน Madame Tussauds London



8.World leaders: คุณจะได้กระทบไหล่กับเหล่าผู้นำที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลก

9+10. Chamber of Horrors & Scream! : ห้องแห่งความน่ากลัว น่าพิศวง พร้อมที่จะให้คุณได้สำรวจแล้ว



11.Behind the scenes at Madame Tussauds : คุณจะได้รู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังว่ากว่าจะมาเป็นหุ่นขี้ผึ้งที่เหมือนจริง ทีมงานจะต้องเหนื่อยกันขนาดไหน



12.Spirit of London Ride : ทุกท่านพร้อมที่จะขึ้นแท๊กซี่ที่โด่งดัง แล้วตีตั๋วไปชมประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษหรือยังค่ะ ?




13.Marvel Super Heroes : ซุปเปอร์ฮีโร่มากมายพร้อมที่จะให้คุณได้กระทบไหล่อย่างใกล้ชิด



14.Marvel Super Heroes 4D Experience : ประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นในการดูภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่แบบสี่มิติพร้อมที่จะให้คุณได้ลิ้มลองแล้ว


ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก http://www.madametussauds.com/London

                   วันที่เจ้าของบล๊อกได้ไปเยี่ยมชม  Madame Tussauds London เป็นประมาณวันที่ 18 ของทริป ภายในมีกิจกรรมให้เล่นและมีมุมให้ถ่ายรูปมากมาย อยู่ได้ทั้งวันไม่เบื่อเลยค่ะ


                   เป็นยังไงค่ะสำหรับการท่องเที่ยวครั้งนี้ เจ้าของบล๊อกหวังว่าทุกคนคงจะเพลิดเพลินพร้อมกับได้รับความรู้มากมายนะค่ะ ยังไงเจ้าของบล๊อกก็ต้องขอจบทริปซัมเมอร์ที่อังกฤษเพียงแค่นี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันมานะค่ะ




                                        Bon Voyage!

{Chapter 5} - London eye

London eye








                    ลอนดอนอาย (London Eye) ที่รู้จักในชื่อ มิลเลเนียมวีล (Millennium Wheel) เป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป มีความสูง 135 เมตร(443 ฟุต) ละกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมและเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างมากในสหราชอาณาจักร มีผู้มาเยือนมากกว่า 3 ล้านคนต่อปี ส่วนบัตรข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 15 ปอนด์ต่อคน




รูปเจ้าของบล๊อกกับ London eye







                ซึ่งในอดีตเคยเป็นชิงช้าสวรรค์ก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก ก่อนจะถูกชิงตำแหน่งไป จากชิงช้าสวรรค์ เดอะ สตาร์ อฟ นานชาง ในประเทศจีน (160 เมตร) ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2006 ต่อมาภายหลังตำแหน่งตกเป็นของ สิงคโปร์ฟลายเออร์ ในประเทศสิงคโปร์ (165 เมตร) นวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 อย่างไรก็ตาม ลอนดอน อาย ก็ยังคงได้รับตำแหน่งจากการให้บริการว่า"ชิงช้าสวรรค์ที่ก่อสร้างด้วยโครงเหล็กค้ำข้างเดียวที่สูงที่สุดในโลก" (เพราะการโครงสร้างทั้งหมดใช้โครงค้ำเหล็กรูปตัว A ในการให้บริการโดยใช้โครงค้ำเพียงแค่ด้านเดียวเท่านั้นไม่เหมือนชิงช้าสวรรค์อื่นๆ ทั่วไปที่มีโครงค้ำสองข้าง)



                     ลอนดอน อาย ตั้งอยู่ ณ ที่ฝั่งสุดด้านตะวันตกของสวนจูบิลี่ บนริมฝั่งทางใต้ของแม่น้ำเทมส์ ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ระหว่างสะพานเวสต์มินสเตอร์กับสะพานฮันเกอร์ฟอร์ด โดยสถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของโดมแห่งการค้นพบ ที่เคยสร้างขึ้นเพื่อใช้ในงานนิทรรศการเฟสติวัล ออฟ บริเตนในปี ค.ศ. 1951 ออกแบบและสร้างสรรค์โดย David Marks and Julia Barfield ด้วยการสนับสนุนโดยสายการบิน British Airways กระทั่งถึงเดือนมีนาคมปี 2000 london eye ที่ใครต่อใครในปีนั้น ไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะให้ตั้งโชว์ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ (ส่วนหนึ่งด้วยการบังทัศนวิสัยหรือรกทัศนียภาพ) นั้น ค่อยๆฝ่าทัศนคติรุนแรงและกลายเป็นของเล่นทันสมัยที่ใครต่อใครต้องไปถ่ายรูปเมื่อไปเยือนลอนดอน  



      

                         ด้วยความสูงต่อรอบที่มากถึง 135 เมตร และการหมุนเคลื่อนอย่างเชื่องช้าในแต่ละรอบนั้น เท่ากับว่า london eye ไม่ได้ทำหน้าที่ในเชิงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่มีความหมายในเชิงวัฒนธรรมเมือง ด้วยการเป็นพาหนะในการเชื้อเชิญชวนเชิญให้นักท่องเที่ยวได้ละเลียดมุมมองงดงามจากด้านต่างๆของมหานครลอนดอน


                             london eye นั้น จะมีระยะเวลาในการหมุนต่อรอบ ด้วยเงื่อนไข 30 นาที ด้วยระยะความเร็วที่0.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นั่นทำให้เมื่อคำนวณกับมุมต่างๆ ของวิวที่อยู่เหนือพื้นดินขึ้นไปนั้น นักท่องเที่ยวมีเวลาเหลือเฟือที่จะเก็บภาพต่างๆ ได้อย่างเพียงพอบางคนนั้นรู้สึกว่า เมื่อชิงช้าสวรรค์ชื่อนี้ของอังกฤษ ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปถึงเพดานสูงสุดนั้นผู้โดยสารจะรู้สึกได้ถึงความสูงอย่างชัดเจน

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.ilovetogo.com/Article/55/63/#.Ug7ffdJcxMg


รูปเจ้าของบล๊อกภายใน London eye


                               ซึ่งวันที่เจ้าของบล๊อกได้ไปที่  London eye เป็นวันที่ 15 ของทริปครั้งนี้ วันนั้นท้องฟ้าค่อนข้าวเป็นใจ ทำให้การเยี่ยมชมทิวทัศน์ภายใน London eye ราบรื่น สามารถเห็นสิ่งก่อสร้างต่างๆได้อย่างชัดเจน อีกทั้งภายในนั้นยังมีหน้าจอ ที่จะมีรูปทิวทัศน์อยู่ เมื่อเราสัมผัสไปที่สิ่งก่อสร้างใด หน้าจอก็จะบอกข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างนั้น ทำให้นอกจากได้ชมทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว ยังได้ความรู้เพิ่มเติมอีกด้วย




ขอบคุณภาพสวยๆ จาก tumblr และ google

{Chapter 4} - Buckingham Palace

Buckingham Palace





Information 

                     Buckingham Palace เดิมชื่อ คฤหาสน์บักกิงแฮม เป็นพระราชวังที่เป็นที่ประทับเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอนในสหราชอาณาจักรเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับการเลี้ยงรับรองของรัฐและยังเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวสำคัญที่หนึ่งของกรุงลอนดอน และยังเป็นที่รวมพลังใจทั้งในการฉลองและในยามคับขันของชาวอังกฤษ




รูปเจ้าของบล๊อกหน้าพระราชวังบักกิ้งแฮม



History

          พระราชวังบักกิงแฮมแต่เดิมชื่อ “คฤหาสน์บักกิงแฮม” (Buckingham House) สิ่งก่อสร้างเดิมเป็นคฤหาสน์ที่สร้างสำหรับจอห์น เชฟฟิลด์ ดยุคแห่งบักกิงแฮมในปี ค.ศ. 1703 ในปี ค.ศ. 1761 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3ทรงซื้อจากดยุคแห่งบักกิงแฮมเพื่อเป็นพระราชฐานส่วนพระองค์ ที่รู้จักกันในชื่อ “วังพระราชินี” (The Queen's House) ระยะ 75 ปีต่อมาเป็นเวลาที่มีการขยายต่อเติมพระราชวังโดยสถาปนิกจอห์น แนช (John Nash) และ เอ็ดเวิร์ด บลอร์ (Edward Blore) เป็นสามปีรอบลานกลาง



          พระราชวังบักกิงแฮมกลายมาเป็นพระราชฐานที่ประทับอย่างเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษเมื่อสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียขึ้นครองราชย์เมื่อปี ค.ศ. 1837 การต่อเติมครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายทำในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งรวมทั้งด้านหน้าที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน บางครั้งพระราชวังบักกิงแฮมก็เรียกกันเล่นๆ ว่า “บักเฮาส์”
ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia





        วันที่เจ้าของบล๊อกได้ไปเยี่ยมชมพระราชวังบักกิ้งแฮมนั้น เป็นวันที่ 10 ของโปรแกรม วันนั้นบรรยากาศโดยรอบมืดครึ้มเล็กน้อย เหมือนฝนจะตกแต่โชคดีที่ไม่ตก ทำให้กรุ๊ปของเจ้าของบล๊อกได้ถ่ายรูปโดยไม่มีอุปสรรค ซึ่งพระราชวังแห่งนี้สวยงามมาก ภายในนั้นจะมีทหารเฝ้าอยู่ เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็จะเดินตรวจตรา ซึ่งเจ้าของบล๊อกก็ได้ดูด้วย แต่พวกเขาเพียงเดินสลับไปมาเท่านั้นเอง



{Chapter 3} - Westminster Abbey

Westminster Abbey








                           มีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์  อังกฤษเพราะเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกกษัตริย์แห่งอังกฤษมากว่า 900 ปีแล้ว ตัววิหารเป็นอาคารเก่าแก่แบบโกธิคจากสมัยศตวรรษที่13ภายในมีที่ฝังพระศพกษัตริย์และราชวงศ์หลายพระองค์ อาทิ พระนางเจ้างอลิซาเบธที่ 1 พระนางแมรี่ บลัดดี้แมรี่และมีอนุสรณ์สถานที่ระลึกถึงบุคคลสำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์ ทั้งนักการเมืองไปจนถึงนักเขียน อาทิ ชาร์ลส์ ดิคเกนส์และเชคส์เปียร์ ในมุมกวีหรือ Poet’s Corner

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.qetour.com/travel-guide/united%20kingdom-travel-guide.php



รูปเจ้าของบล๊อกหน้า Westminster Abbey



History

                    เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์เริ่มสร้างเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 616 ณ ที่ตั้งปัจจุบันที่เดิมเรียกว่าธอร์น อาย (เกาะธอร์น) ซึ่งเป็นเกาะกลางแม่น้ำ ตามตำนานกล่าวว่าคนหาปลาในแม่น้ำเทมส์ชื่ออัลดริชเห็นนักบุญปีเตอร์มาปรากฏตัวใกล้กับที่ตั้งแอบบีในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลของการที่แอบบีได้รับปลาซาลมอนจากคนหาปลาในแม่น้ำเทมส์ต่อมา แต่ตามหลักฐานที่น่าเชื่อถือกว่ากล่าวว่าในคริสต์ทศวรรษ 960 หรือต้นคริสต์ทศวรรษ 970 นักบุญดันสตันร่วมกับพระเจ้าเอ็ดการ์ได้ก่อตั้งชุมชนนักพรตคณะเบเนดิกตินขึ้นที่นี่ ต่อมาสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพก็ สร้างแอบบีให้เป็นโบสถ์หินระหว่างปี ค.ศ. 1045 ถึงปี ค.ศ. 1050 เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังของพระองค์ แอบบีได้รับการสถาปนาเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1065[1] เพียงอาทิตย์เดียวก่อนที่จะเสด็จสวรรคตและใช้เป็นที่ฝังพระศพของพระองค์เอง ในปี ค.ศ. 1245 พระเจ้าเฮนรีที่ 3 ก็ทรงสร้างแอบบีใหม่แทนแอบบีเดิมและทรงเลือกให้เป็นที่บรรจุพระศพของพระองค์เอง

ขอบคุณข้อมูลจาก  wikipedia







                      วันที่เจ้าของบล๊อกนั้นได้ไปเยี่ยมชม  Westminster Abbey เป็นวันเดียวกับที่ไปชม หอนาฬิกา "ฺBig Ben" ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่นักเที่ยวเยอะมาก ทำให้กรุ๊ปของเจ้าของบล๊อกตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปชมด้านใน แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้าไปชมความงดงามด้านใน แค่เพียงด้านนอกก็รู้ได้ด้วยตาว่า Westminster Abbey ช่างเป็นวิหารที่งดงามและวิจิตรตระการตาจริงๆค่ะ


                      
                                             รูปเจ้าของบล๊อกหน้า Westminster Abbey



{Chapter 2} - Trafalgar Square

Trafalgar Square


Cr.tumblr


                    Trafalgar Square ถือได้ว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่คนนิยมมาเยี่ยมชมและถ่ายรูปกัน เพราะมีรูปปั้นสัตว์ต่างๆที่มีความสวยงามมากมาย อีกทั้งยังใกล้สถานที่สำคัญมากมายด้วย จึงทำให้ที่นี่มีคนพลุกพล่านอยู่เกือบตลอดเวลา







Information

                 Trafalgar Square เป็นจัตุรัสกว้างใหญ่มีอนุสาวรีย์ลอร์ดเนลสัน อยู่ตรงกลาง แผ่นป้ายจุดเริ่มต้นกิโลเมตรหรือไมล์ที่ 0 อยู่ใกล้พระรูปทรงม้าของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 อาคารโดยรอบเป็นสถานที่น่าสนใจ อาทิ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเนชั่นแนลแกลเลอรี่และโบสถ์เซนต์มาร์ตินอินเดอะฟิลด์  



                  Trafalgar Square เป็นที่ที่ควรไปถ่ายรูปเพื่อเป็นที่ระลึกที่นี่จะมีฝูงนกพิราบมาคอยกินอาหารที่คนหว่านให้ มีคนมาเล่นดนตรีขอแลกเศษเงิน มีเด็กๆมาวิ่งเล่น หรือในหน้าร้อนจะมีคนมาหาความขุ่มฉ่ำจากน้ำพุ และหากมีการประท้วงเรียกร้องต่างๆ ก็จะมาชุมนุมกันที่นี่ ในช่วงคริสต์มาส ทราฟัลการ์สแควร์จะมีการประดับประดาไฟสวยงามและมีต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ตั้งอยู่ ต้านคริสต์มาสนี้เป็นของขวัญจากประเทศนอร์เวย์ซึ่งส่งมาให้ทุกปีเพื่อแสดงความขอบคุณที่ช่วยเหลือชาวนอร์เวย์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางด้านเหนือของจัตุรัสเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะเนชั่นแนลแกลเลอรี่และเนชั่นแนลพอร์เทรตแกลเลอรี่

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.qetour.com/travel-guide/united%20kingdom-travel-guide.php







รูปเจ้าของบล๊อกที่ Trafalgar Square 

History

                     จัตุรัสประกอบด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ใจกลางมหานครลอนดอน ห้อมล้อมด้วยถนนทั้ง 3 ด้าน และมีบันไดกลางขนาดใหญ่ที่จะนำไปสู่หอศิลป์แห่งชาติในด้านที่ 4 ของจัตุรัส และยังมีถนนตัดผ่านซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงหมายเลข A4 ซึ่งถนนที่ห้อมล้อมทั้งหมดใช้ระบบการจราจรรถวิ่งทางเดี่ยว (One-way traffic system) นอกจากนี้ยังมีทางลอดไปยังสถานีแชริ่ง ครอส เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาการจราจรติดขัด และอันตรายจากการจราจรอันคับคั่งของผู้คนตามท้องถนน ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้สำนักงานโยธาของนครลอนดอนได้ลดขนาดช่องทางการจราจร และปิดถนนในฝั่งเหนือลง 
                     เสาปูนเนลสันตั้งอยู่ตรงการของจัตุรัส และรายล้อมไปด้วยน้ำพุอันสวยงานซึ่งถูกออกแบบในปี ค.ศ. 1939 โดย เซอร์ เอ็ดวิน ลุตเย็นส์ (ย้ายน้ำพุสองอันที่สร้างมาก่อนหน้านี้ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ ณ วาสคานา เซ็นเตอร์ ในสวนคอนเฟดเดอเรชั่นปาร์ค กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา) และรูปแกะสลักสิงโตบรอนซ์ของ เซอร์ เอ็ดวิน แลนเซียร์ ส่วนโลหะได้มาจากการรีไซเคิลของปืนใหญ่ของฝรั่งเศส ซึ่งด้านบนสุดของเสาหินคือรูปแกะสลักของ พลเรือเอกโฮเรทิโอ เนลสัน ผู้ที่บัญชาการนำในการรบที่สมรภูมิทราฟัลการ์ 
                       ซึ่งน้ำพุฝั่งตะวันตกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่ ลอร์ด เจลลิซโค ส่วนฝั่งตะวันออกอุทิศให้แก่ ลอร์ด บีทตี้ สถานที่ที่รายล้อมจัตุรัสได้แก่ ด้านเหนือของจัตุรัสคือหอศิลป์แห่งชาติ ด้านตะวันออกคือโบสถ์ เซนต์ มาร์ติน-อิน-เดอะ-ฟีลดส์ และยังมีทางเชื่อมไปยังห้างสรรพสินค้าและแอดมิแรลทิ อาร์ชซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ ด้านใต้คือไวท์ ฮอลล์ ด้านตะวันออกคือถนนสแตรนด์กับบ้านแอฟริกาใต้ ด้านตะวันตกคือบ้านแคนาดา
                        ณ หัวมุมของจัตุรัสคือฐานของเสาหินทั้งสี่ สองฐานอยู่ทางด้านเหนือ อีกหนึ่งเป็นฐานของอนุสาวรีย์คนขี่ม้า ซึ่งมีขนาดกว้างกว่าอีกสองอันที่อยู่ด้านทิศใต้ โดยมีสามอันที่เป็นฐานให้แก่อนุสาวรีย์ของ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 (ด้านตะวันออกเฉียงเหนือสร้างในช่วงทศวรรษที่ 1840) เฮนรี แฮฟลอค 
                         (ด้านตะวันออกเฉียงใต้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1861 โดย วิลเลี่ยม เบ็นช์) และ เซอร์ ชาร์ลส์ เจมส์ เนปิแอร์ (ด้านตะวันตกเฉียงใต้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1955) 




รูปเจ้าของบล๊อกที่ Trafalgar Square 





                          ตัวเจ้าของบล๊อกนั้นได้ไปที่ Trafalgar Square ในวันที่ 8 ของโปรแกรม ซึ่งความจริงแ้ล้วเจ้าขvงบล๊อกมีจุดมุ่งหมายคือ National Gallery จึงได้เข้าไปในนั้นอยู่นานเช่นกัน พอออกมาจาก  National Gallery ก็พบว่าที่ Trafalgar Square นั้นมีคนพลุกพล่านมากมาย จึงได้รู้ว่า Trafalgar Square ถือว่าเป็นจุดนัดพบของชาว Londoner ที่โด่งดังอีกจุดหนึ่งก็เป็นได้