วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

My Walk Of Life {An Accountant}





               'อาชีพนักบัญชี ' ถือได้ว่าเป็นอาชีพในฝันของใครหลายคนรวมถึงตัวฉันเองด้วย คนภายนอกอาจจะคิดว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่น่าเบื่อ แต่ในความรู้สึกของฉันฉันคิดว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่ท้าทายอีกอาชีพหนึ่งเลยทีเดียว

              ตัวฉันเป็นเพียงนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตัวเล็กๆคนหนึ่งที่มีความตั้งใจว่าเมื่อเติบโตขึ้นฉันอยากจะเป็นนักบัญชี ทางพ่อแม่ของฉันพวกท่านก็ไม่ได้ขัดข้องเพราะว่า อาชีพนี้ถือได้ว่าเป็นที่ต้องการในตลาด และมีคำกล่าวว่า "นักบัญชี จะเป็นคนสุดท้ายที่บริษัทไล่ออกจากงาน" ฉันยอมรับว่าในตอนแรก ที่ฉันเลือก 'อาชีพนักบัญชี ' เพราะเหตุผลเรื่องการหางา นแต่พอฉันได้ศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับงานนี้มากขึ้น  'อาชีพนักบัญชี ' กลับทำให้ฉันตกหลุมรักทันที



             เหตุผลที่ฉันตกหลุมรักและคิดว่า  'อาชีพนักบัญชี ' เป็นอาชีพที่ท้าทาย เพราะว่า การตรวจสอบบัญชีทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองได้เป็นนักสืบตัวเล็กๆ ที่คอยหาร่องรอยความผิดพลาดของบัญชีนั้นๆ และแก้ไขให้ถูกต้อง ฉันจึงรู้สึกสนุกที่ได้หาข้อผิดพลาดและแก้ไขปัญหาเฉพาะนั้น ราวกับว่าได้อ่านนวนิยายสืบสวนที่ฉันเป็นผู้ดำเนินเรื่องเลยทีเดียว

              'อาชีพนักบัญชี ' ไม่ได้มีทางเลือกเพียงแค่นักบัญชีตามบริษัทหรือผู้ตรวจสอบบัญชีเท่านั้น เพราะในปัจจุบันมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงต่างๆ ก็ได้เปิดบัญชีสาขาใหม่มากมาย 

            

              ลักษณะงาน
               ผู้ปฏิบัติงานด้านนี้ ได้แก่ผู้ให้บริการทางการบัญชีแก่สถานประกอบการธุรกิจ สถาบันเอกชน หรือหน่วยงานรัฐบาล รวมถึงการดูแลการทำบัญชี และการตรวจสอบบัญชี การวิเคราะห็รายการธุรกิจและบันทึกผลทางการเงิน การรับรองความถูกต้องและความครบถ้วนในการทำบัญชี และเอกสารทางการเงิน รวมทั้งการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการสอบบัญชี การวางแผนทางบัญชี และการวางระบบทางบัญชีแก่สถานประกอบการต่างๆ
(ขอบคุณข้อมูลจาก http://blog.eduzones.com/dena/5222)

               
                 นอกจากนี้แล้ว นักบัญชีจะต้องมีคุณสมบัติต่างๆมากมาย

  1. ซื่อสัตย์ มีจรรยาบรรณวิชาชีพ เนื่องจากนักบัญชีจะรับทราบตัวเลขความเคลื่อนไหวทางการเงินของบริษัทอยู่ตลอดเวลา นักบัญชีที่ดีจะไม่เปิดเผยข้อมูลต่างๆ ทางการเงินของบริษัทเด็ดขาด
  2. ขยัน อดทน รับผิดชอบงานในหน้าที่ให้สำเร็จลุล่วงตามกำหนดเวลา จึงเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นนักบัญชีกลับบ้านดึกกว่าแผนกอื่นเสมอ
  3. ละเอียดรอบคอบ ถี่ถ้วน ในการมอบหรือรับมอบเอกสารเกี่ยวกับการเงิน ควรเรียกเก็บหลักฐานทางการเงิน และตรวจสอบความถูกต้องทุกครั้ง ควรจัดเก็บเอกสารการเงิน การบัญชีทุกฉบับไว้ในที่ปลอดภัย ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
  4. มีความรู้แน่นภาคทฤษฎี และประยุกต์ใช้ให้เข้ากับธุรกิจได้ นักบัญชีจำเป็นต้องนำทฤษฎีมาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลตัวเลขได้อย่าง
  5. ถูกต้องแม่นยำ ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความเข้าใจในธุรกิจของบริษัท และนำทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับธุรกิจได้ด้วย
  6. สร้างแรงกดดันให้ตนเอง ในการทำงานควรมีการกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน และหาวิธีที่จะทำให้ได้ตามเป้า นอกจากนั้น นักบัญชียังสามารถพัฒนาตนเองได้ตลอดเวลา ด้วยการกำหนดเวลาในการทำงานให้สั้นลง หรือขอทำงานที่ยากขึ้นเรื่อยๆ
  7. กล้านำเสนอ แนวคิดและวิธีการใหม่ๆ ที่เป็นประโชน์ต่อบริษัท รวมทั้ง รีบแจ้งผู้มีอำนาจทราบทันที เมื่อพบการทุจริต หรือความเสียหายใดๆ
  8. ทบทวนตนเองทุกปี ตั้งคำถามว่าตนเองต้องการอะไร และในปีที่ผ่านมาทำอะไรไปแล้วบ้าง ยังมีอะไรที่ต้องทำอีกบ้าง มีอะไรที่ผิดพลาดบ้าง เพื่อหาทางแก้ไข และปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น ไม่ให้เกิดความผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง
  9. เปิดรับเทคโนโลยี ข้อมูล ข่าวสาร และสิ่งใหม่ๆ ตลอดเวลา นักบัญชีควรหาโอกาสพูดคุยพบปะกับคนในวิชาชีพเดียวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนความคิด และเข้าใจวิธีการทำงานของคนอื่น รวมทั้งหมั่นศึกษากฎหมายเกี่ยวกับการบัญชี และภาษีอากรที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอ
(ขอบคุณข้อมูลจาก http://th.jobsdb.com/th/EN/Resources/JobSeekerArticle/audit_editor31.htm?ID=354)
              
                ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ ฉันอาจจะยังมีไม่ครบสมบูรณ์แต่ฉันจะพยายามเพื่อที่ในอนาคตฉันจะเป็นนักบัญชีที่ดี อย่างสุดความสามารถ
                นอกจากเหตุผลที่ฉันได้กล่าวไปข้างบนแล้ว ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ฉันอยากเป็นนักบัญชี คือ คุณป้าของฉัน ท่านเป็นนักบัญชีที่ซื่อสัตย์และรอบคอบที่สุดในสายตาฉัน แม้ว่าท่านจะร่ำลาวงการนี้ไปแล้ว แต่ท่านก็จะยังเป็นนักบัญชีที่เป็นต้นแบบให้แก่ฉันเสมอไป ขอบคุณคุณป้ามากนะค่ะ







(ขอบคุณเจ้าของภาพทุกภาพนะค่ะ)


วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556

{Chapter 6} - Madame Tussauds London

Madame Tussauds London




                         Madame Tussauds ถือว่าเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งที่โด่งดังที่สุดเลยก็เป็นได้ อีกทั้งยังมีหลายสาขาทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยอีกด้วย ตอกย้ำถึงความโด่งดังของ Madame Tussauds ได้เป็นอย่างดี



                         ซึ่งภายใน Madame Tussauds London จะแบ่งหุ่นเป็น 14 ส่วน


1.Party : ทุกท่านจะได้กระทบไหล่กับซุปเปอร์สตาร์แถวหน้าของ Hollywood ไม่ว่าจะเป็น Kate WinsletColin FirthDame Helen Mirren,  Brad Pitt, Taylor LautnerLeonardo Dicaprio และ George Clooney



2.Bollywood : ในบริเวณนี้คุณจะได้พบกับดาราดังจากฝั่ง Bollywood มากมาย



3.Film : โซนนี้คุณจะได้พบกับตัวละครจากภาพยนตร์ดังหลากหลายจากในอดีตจนถึงปัจจุบันที่คุณชื่นชอบ



4.Sports Zone : บริเวณนี้จะมีนักกีฬาที่มีชื่อเสียงมากมายพร้อมที่จะให้ทุกท่านได้ไปสัมผัสอย่างใกล้ชิด

รูปเจ้าของบล๊อกกับหุ่นภายใน Madame Tussauds London


5.Royals : ส่วนนี้คุณจะไปพบกับเชื้อพระวงศ์ของประเทศอังกฤษอย่างใกล้ชิด



6.Culture : คุณจะได้พบกับบุคคลสำคัญจากอดีตมากมาย ไม่ว่าจะเป็น นักวิทยาศาสตร์หรือศิลปินชื่อดัง



7.Music Megastars : คุณจะได้พบกับนักร้อง ศิลปิน ชื่อดังทั้งจากอดีตจนถึงปัจจุบัน


รูปเจ้าของบล๊อกกับหุ่นภายใน Madame Tussauds London



8.World leaders: คุณจะได้กระทบไหล่กับเหล่าผู้นำที่มีชื่อเสียงจากทั่วโลก

9+10. Chamber of Horrors & Scream! : ห้องแห่งความน่ากลัว น่าพิศวง พร้อมที่จะให้คุณได้สำรวจแล้ว



11.Behind the scenes at Madame Tussauds : คุณจะได้รู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลังว่ากว่าจะมาเป็นหุ่นขี้ผึ้งที่เหมือนจริง ทีมงานจะต้องเหนื่อยกันขนาดไหน



12.Spirit of London Ride : ทุกท่านพร้อมที่จะขึ้นแท๊กซี่ที่โด่งดัง แล้วตีตั๋วไปชมประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษหรือยังค่ะ ?




13.Marvel Super Heroes : ซุปเปอร์ฮีโร่มากมายพร้อมที่จะให้คุณได้กระทบไหล่อย่างใกล้ชิด



14.Marvel Super Heroes 4D Experience : ประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นในการดูภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่แบบสี่มิติพร้อมที่จะให้คุณได้ลิ้มลองแล้ว


ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก http://www.madametussauds.com/London

                   วันที่เจ้าของบล๊อกได้ไปเยี่ยมชม  Madame Tussauds London เป็นประมาณวันที่ 18 ของทริป ภายในมีกิจกรรมให้เล่นและมีมุมให้ถ่ายรูปมากมาย อยู่ได้ทั้งวันไม่เบื่อเลยค่ะ


                   เป็นยังไงค่ะสำหรับการท่องเที่ยวครั้งนี้ เจ้าของบล๊อกหวังว่าทุกคนคงจะเพลิดเพลินพร้อมกับได้รับความรู้มากมายนะค่ะ ยังไงเจ้าของบล๊อกก็ต้องขอจบทริปซัมเมอร์ที่อังกฤษเพียงแค่นี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามกันมานะค่ะ




                                        Bon Voyage!

{Chapter 5} - London eye

London eye








                    ลอนดอนอาย (London Eye) ที่รู้จักในชื่อ มิลเลเนียมวีล (Millennium Wheel) เป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป มีความสูง 135 เมตร(443 ฟุต) ละกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมและเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างมากในสหราชอาณาจักร มีผู้มาเยือนมากกว่า 3 ล้านคนต่อปี ส่วนบัตรข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 15 ปอนด์ต่อคน




รูปเจ้าของบล๊อกกับ London eye







                ซึ่งในอดีตเคยเป็นชิงช้าสวรรค์ก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก ก่อนจะถูกชิงตำแหน่งไป จากชิงช้าสวรรค์ เดอะ สตาร์ อฟ นานชาง ในประเทศจีน (160 เมตร) ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2006 ต่อมาภายหลังตำแหน่งตกเป็นของ สิงคโปร์ฟลายเออร์ ในประเทศสิงคโปร์ (165 เมตร) นวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 อย่างไรก็ตาม ลอนดอน อาย ก็ยังคงได้รับตำแหน่งจากการให้บริการว่า"ชิงช้าสวรรค์ที่ก่อสร้างด้วยโครงเหล็กค้ำข้างเดียวที่สูงที่สุดในโลก" (เพราะการโครงสร้างทั้งหมดใช้โครงค้ำเหล็กรูปตัว A ในการให้บริการโดยใช้โครงค้ำเพียงแค่ด้านเดียวเท่านั้นไม่เหมือนชิงช้าสวรรค์อื่นๆ ทั่วไปที่มีโครงค้ำสองข้าง)



                     ลอนดอน อาย ตั้งอยู่ ณ ที่ฝั่งสุดด้านตะวันตกของสวนจูบิลี่ บนริมฝั่งทางใต้ของแม่น้ำเทมส์ ในกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ตั้งอยู่ระหว่างสะพานเวสต์มินสเตอร์กับสะพานฮันเกอร์ฟอร์ด โดยสถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของโดมแห่งการค้นพบ ที่เคยสร้างขึ้นเพื่อใช้ในงานนิทรรศการเฟสติวัล ออฟ บริเตนในปี ค.ศ. 1951 ออกแบบและสร้างสรรค์โดย David Marks and Julia Barfield ด้วยการสนับสนุนโดยสายการบิน British Airways กระทั่งถึงเดือนมีนาคมปี 2000 london eye ที่ใครต่อใครในปีนั้น ไม่ค่อยเห็นด้วยที่จะให้ตั้งโชว์ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์ (ส่วนหนึ่งด้วยการบังทัศนวิสัยหรือรกทัศนียภาพ) นั้น ค่อยๆฝ่าทัศนคติรุนแรงและกลายเป็นของเล่นทันสมัยที่ใครต่อใครต้องไปถ่ายรูปเมื่อไปเยือนลอนดอน  



      

                         ด้วยความสูงต่อรอบที่มากถึง 135 เมตร และการหมุนเคลื่อนอย่างเชื่องช้าในแต่ละรอบนั้น เท่ากับว่า london eye ไม่ได้ทำหน้าที่ในเชิงเทคโนโลยีเท่านั้น แต่มีความหมายในเชิงวัฒนธรรมเมือง ด้วยการเป็นพาหนะในการเชื้อเชิญชวนเชิญให้นักท่องเที่ยวได้ละเลียดมุมมองงดงามจากด้านต่างๆของมหานครลอนดอน


                             london eye นั้น จะมีระยะเวลาในการหมุนต่อรอบ ด้วยเงื่อนไข 30 นาที ด้วยระยะความเร็วที่0.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นั่นทำให้เมื่อคำนวณกับมุมต่างๆ ของวิวที่อยู่เหนือพื้นดินขึ้นไปนั้น นักท่องเที่ยวมีเวลาเหลือเฟือที่จะเก็บภาพต่างๆ ได้อย่างเพียงพอบางคนนั้นรู้สึกว่า เมื่อชิงช้าสวรรค์ชื่อนี้ของอังกฤษ ค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปถึงเพดานสูงสุดนั้นผู้โดยสารจะรู้สึกได้ถึงความสูงอย่างชัดเจน

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.ilovetogo.com/Article/55/63/#.Ug7ffdJcxMg


รูปเจ้าของบล๊อกภายใน London eye


                               ซึ่งวันที่เจ้าของบล๊อกได้ไปที่  London eye เป็นวันที่ 15 ของทริปครั้งนี้ วันนั้นท้องฟ้าค่อนข้าวเป็นใจ ทำให้การเยี่ยมชมทิวทัศน์ภายใน London eye ราบรื่น สามารถเห็นสิ่งก่อสร้างต่างๆได้อย่างชัดเจน อีกทั้งภายในนั้นยังมีหน้าจอ ที่จะมีรูปทิวทัศน์อยู่ เมื่อเราสัมผัสไปที่สิ่งก่อสร้างใด หน้าจอก็จะบอกข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างนั้น ทำให้นอกจากได้ชมทิวทัศน์ที่สวยงามแล้ว ยังได้ความรู้เพิ่มเติมอีกด้วย




ขอบคุณภาพสวยๆ จาก tumblr และ google

{Chapter 4} - Buckingham Palace

Buckingham Palace





Information 

                     Buckingham Palace เดิมชื่อ คฤหาสน์บักกิงแฮม เป็นพระราชวังที่เป็นที่ประทับเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษตั้งอยู่ที่กรุงลอนดอนในสหราชอาณาจักรเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับการเลี้ยงรับรองของรัฐและยังเป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวสำคัญที่หนึ่งของกรุงลอนดอน และยังเป็นที่รวมพลังใจทั้งในการฉลองและในยามคับขันของชาวอังกฤษ




รูปเจ้าของบล๊อกหน้าพระราชวังบักกิ้งแฮม



History

          พระราชวังบักกิงแฮมแต่เดิมชื่อ “คฤหาสน์บักกิงแฮม” (Buckingham House) สิ่งก่อสร้างเดิมเป็นคฤหาสน์ที่สร้างสำหรับจอห์น เชฟฟิลด์ ดยุคแห่งบักกิงแฮมในปี ค.ศ. 1703 ในปี ค.ศ. 1761 สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 3ทรงซื้อจากดยุคแห่งบักกิงแฮมเพื่อเป็นพระราชฐานส่วนพระองค์ ที่รู้จักกันในชื่อ “วังพระราชินี” (The Queen's House) ระยะ 75 ปีต่อมาเป็นเวลาที่มีการขยายต่อเติมพระราชวังโดยสถาปนิกจอห์น แนช (John Nash) และ เอ็ดเวิร์ด บลอร์ (Edward Blore) เป็นสามปีรอบลานกลาง



          พระราชวังบักกิงแฮมกลายมาเป็นพระราชฐานที่ประทับอย่างเป็นทางการของราชวงศ์อังกฤษเมื่อสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียขึ้นครองราชย์เมื่อปี ค.ศ. 1837 การต่อเติมครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายทำในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งรวมทั้งด้านหน้าที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน บางครั้งพระราชวังบักกิงแฮมก็เรียกกันเล่นๆ ว่า “บักเฮาส์”
ขอบคุณข้อมูลจาก wikipedia





        วันที่เจ้าของบล๊อกได้ไปเยี่ยมชมพระราชวังบักกิ้งแฮมนั้น เป็นวันที่ 10 ของโปรแกรม วันนั้นบรรยากาศโดยรอบมืดครึ้มเล็กน้อย เหมือนฝนจะตกแต่โชคดีที่ไม่ตก ทำให้กรุ๊ปของเจ้าของบล๊อกได้ถ่ายรูปโดยไม่มีอุปสรรค ซึ่งพระราชวังแห่งนี้สวยงามมาก ภายในนั้นจะมีทหารเฝ้าอยู่ เมื่อถึงเวลาพวกเขาก็จะเดินตรวจตรา ซึ่งเจ้าของบล๊อกก็ได้ดูด้วย แต่พวกเขาเพียงเดินสลับไปมาเท่านั้นเอง



{Chapter 3} - Westminster Abbey

Westminster Abbey








                           มีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์  อังกฤษเพราะเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกกษัตริย์แห่งอังกฤษมากว่า 900 ปีแล้ว ตัววิหารเป็นอาคารเก่าแก่แบบโกธิคจากสมัยศตวรรษที่13ภายในมีที่ฝังพระศพกษัตริย์และราชวงศ์หลายพระองค์ อาทิ พระนางเจ้างอลิซาเบธที่ 1 พระนางแมรี่ บลัดดี้แมรี่และมีอนุสรณ์สถานที่ระลึกถึงบุคคลสำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์ ทั้งนักการเมืองไปจนถึงนักเขียน อาทิ ชาร์ลส์ ดิคเกนส์และเชคส์เปียร์ ในมุมกวีหรือ Poet’s Corner

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.qetour.com/travel-guide/united%20kingdom-travel-guide.php



รูปเจ้าของบล๊อกหน้า Westminster Abbey



History

                    เวสต์มินสเตอร์แอบบีย์เริ่มสร้างเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 616 ณ ที่ตั้งปัจจุบันที่เดิมเรียกว่าธอร์น อาย (เกาะธอร์น) ซึ่งเป็นเกาะกลางแม่น้ำ ตามตำนานกล่าวว่าคนหาปลาในแม่น้ำเทมส์ชื่ออัลดริชเห็นนักบุญปีเตอร์มาปรากฏตัวใกล้กับที่ตั้งแอบบีในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะเป็นเหตุผลของการที่แอบบีได้รับปลาซาลมอนจากคนหาปลาในแม่น้ำเทมส์ต่อมา แต่ตามหลักฐานที่น่าเชื่อถือกว่ากล่าวว่าในคริสต์ทศวรรษ 960 หรือต้นคริสต์ทศวรรษ 970 นักบุญดันสตันร่วมกับพระเจ้าเอ็ดการ์ได้ก่อตั้งชุมชนนักพรตคณะเบเนดิกตินขึ้นที่นี่ ต่อมาสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพก็ สร้างแอบบีให้เป็นโบสถ์หินระหว่างปี ค.ศ. 1045 ถึงปี ค.ศ. 1050 เพื่อให้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังของพระองค์ แอบบีได้รับการสถาปนาเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม ค.ศ. 1065[1] เพียงอาทิตย์เดียวก่อนที่จะเสด็จสวรรคตและใช้เป็นที่ฝังพระศพของพระองค์เอง ในปี ค.ศ. 1245 พระเจ้าเฮนรีที่ 3 ก็ทรงสร้างแอบบีใหม่แทนแอบบีเดิมและทรงเลือกให้เป็นที่บรรจุพระศพของพระองค์เอง

ขอบคุณข้อมูลจาก  wikipedia







                      วันที่เจ้าของบล๊อกนั้นได้ไปเยี่ยมชม  Westminster Abbey เป็นวันเดียวกับที่ไปชม หอนาฬิกา "ฺBig Ben" ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่นักเที่ยวเยอะมาก ทำให้กรุ๊ปของเจ้าของบล๊อกตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปชมด้านใน แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้าไปชมความงดงามด้านใน แค่เพียงด้านนอกก็รู้ได้ด้วยตาว่า Westminster Abbey ช่างเป็นวิหารที่งดงามและวิจิตรตระการตาจริงๆค่ะ


                      
                                             รูปเจ้าของบล๊อกหน้า Westminster Abbey



{Chapter 2} - Trafalgar Square

Trafalgar Square


Cr.tumblr


                    Trafalgar Square ถือได้ว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่คนนิยมมาเยี่ยมชมและถ่ายรูปกัน เพราะมีรูปปั้นสัตว์ต่างๆที่มีความสวยงามมากมาย อีกทั้งยังใกล้สถานที่สำคัญมากมายด้วย จึงทำให้ที่นี่มีคนพลุกพล่านอยู่เกือบตลอดเวลา







Information

                 Trafalgar Square เป็นจัตุรัสกว้างใหญ่มีอนุสาวรีย์ลอร์ดเนลสัน อยู่ตรงกลาง แผ่นป้ายจุดเริ่มต้นกิโลเมตรหรือไมล์ที่ 0 อยู่ใกล้พระรูปทรงม้าของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 อาคารโดยรอบเป็นสถานที่น่าสนใจ อาทิ พิพิธภัณฑ์ศิลปะเนชั่นแนลแกลเลอรี่และโบสถ์เซนต์มาร์ตินอินเดอะฟิลด์  



                  Trafalgar Square เป็นที่ที่ควรไปถ่ายรูปเพื่อเป็นที่ระลึกที่นี่จะมีฝูงนกพิราบมาคอยกินอาหารที่คนหว่านให้ มีคนมาเล่นดนตรีขอแลกเศษเงิน มีเด็กๆมาวิ่งเล่น หรือในหน้าร้อนจะมีคนมาหาความขุ่มฉ่ำจากน้ำพุ และหากมีการประท้วงเรียกร้องต่างๆ ก็จะมาชุมนุมกันที่นี่ ในช่วงคริสต์มาส ทราฟัลการ์สแควร์จะมีการประดับประดาไฟสวยงามและมีต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ตั้งอยู่ ต้านคริสต์มาสนี้เป็นของขวัญจากประเทศนอร์เวย์ซึ่งส่งมาให้ทุกปีเพื่อแสดงความขอบคุณที่ช่วยเหลือชาวนอร์เวย์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางด้านเหนือของจัตุรัสเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะเนชั่นแนลแกลเลอรี่และเนชั่นแนลพอร์เทรตแกลเลอรี่

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.qetour.com/travel-guide/united%20kingdom-travel-guide.php







รูปเจ้าของบล๊อกที่ Trafalgar Square 

History

                     จัตุรัสประกอบด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ใจกลางมหานครลอนดอน ห้อมล้อมด้วยถนนทั้ง 3 ด้าน และมีบันไดกลางขนาดใหญ่ที่จะนำไปสู่หอศิลป์แห่งชาติในด้านที่ 4 ของจัตุรัส และยังมีถนนตัดผ่านซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทางหลวงหมายเลข A4 ซึ่งถนนที่ห้อมล้อมทั้งหมดใช้ระบบการจราจรรถวิ่งทางเดี่ยว (One-way traffic system) นอกจากนี้ยังมีทางลอดไปยังสถานีแชริ่ง ครอส เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาการจราจรติดขัด และอันตรายจากการจราจรอันคับคั่งของผู้คนตามท้องถนน ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้สำนักงานโยธาของนครลอนดอนได้ลดขนาดช่องทางการจราจร และปิดถนนในฝั่งเหนือลง 
                     เสาปูนเนลสันตั้งอยู่ตรงการของจัตุรัส และรายล้อมไปด้วยน้ำพุอันสวยงานซึ่งถูกออกแบบในปี ค.ศ. 1939 โดย เซอร์ เอ็ดวิน ลุตเย็นส์ (ย้ายน้ำพุสองอันที่สร้างมาก่อนหน้านี้ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ ณ วาสคานา เซ็นเตอร์ ในสวนคอนเฟดเดอเรชั่นปาร์ค กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา) และรูปแกะสลักสิงโตบรอนซ์ของ เซอร์ เอ็ดวิน แลนเซียร์ ส่วนโลหะได้มาจากการรีไซเคิลของปืนใหญ่ของฝรั่งเศส ซึ่งด้านบนสุดของเสาหินคือรูปแกะสลักของ พลเรือเอกโฮเรทิโอ เนลสัน ผู้ที่บัญชาการนำในการรบที่สมรภูมิทราฟัลการ์ 
                       ซึ่งน้ำพุฝั่งตะวันตกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่ ลอร์ด เจลลิซโค ส่วนฝั่งตะวันออกอุทิศให้แก่ ลอร์ด บีทตี้ สถานที่ที่รายล้อมจัตุรัสได้แก่ ด้านเหนือของจัตุรัสคือหอศิลป์แห่งชาติ ด้านตะวันออกคือโบสถ์ เซนต์ มาร์ติน-อิน-เดอะ-ฟีลดส์ และยังมีทางเชื่อมไปยังห้างสรรพสินค้าและแอดมิแรลทิ อาร์ชซึ่งอยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ ด้านใต้คือไวท์ ฮอลล์ ด้านตะวันออกคือถนนสแตรนด์กับบ้านแอฟริกาใต้ ด้านตะวันตกคือบ้านแคนาดา
                        ณ หัวมุมของจัตุรัสคือฐานของเสาหินทั้งสี่ สองฐานอยู่ทางด้านเหนือ อีกหนึ่งเป็นฐานของอนุสาวรีย์คนขี่ม้า ซึ่งมีขนาดกว้างกว่าอีกสองอันที่อยู่ด้านทิศใต้ โดยมีสามอันที่เป็นฐานให้แก่อนุสาวรีย์ของ สมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 (ด้านตะวันออกเฉียงเหนือสร้างในช่วงทศวรรษที่ 1840) เฮนรี แฮฟลอค 
                         (ด้านตะวันออกเฉียงใต้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1861 โดย วิลเลี่ยม เบ็นช์) และ เซอร์ ชาร์ลส์ เจมส์ เนปิแอร์ (ด้านตะวันตกเฉียงใต้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1955) 




รูปเจ้าของบล๊อกที่ Trafalgar Square 





                          ตัวเจ้าของบล๊อกนั้นได้ไปที่ Trafalgar Square ในวันที่ 8 ของโปรแกรม ซึ่งความจริงแ้ล้วเจ้าขvงบล๊อกมีจุดมุ่งหมายคือ National Gallery จึงได้เข้าไปในนั้นอยู่นานเช่นกัน พอออกมาจาก  National Gallery ก็พบว่าที่ Trafalgar Square นั้นมีคนพลุกพล่านมากมาย จึงได้รู้ว่า Trafalgar Square ถือว่าเป็นจุดนัดพบของชาว Londoner ที่โด่งดังอีกจุดหนึ่งก็เป็นได้